วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการแปลภาษาอังกฤษ

เทคนิคการแปลภาษาอังกฤษ

1.1 ปัญหาทางด้านไวยากรณ์และโครงสร้าง เช่น การแปลประโยคที่มีกริยาเป็นกรรมวาจก(Passive voice) การแปลกาล (Tense) การแปลคำเชื่อมโยง (Connectives) การแปลสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง (Indefinite pronouns) การแปลประธานที่ไร้ความหมาย (Dummy subject)
ตัวอย่าง
ประโยคที่มีกริยาเป็นกรรมวาจก
1. He was invited to give a speech at the Opening ceremony.
มีผู้แปลว่า: เขาถูกเชิญให้ไปพูดในพิธีเปิด
ข้อสังเกต: ในภาษาไทยเมื่อใช้คำว่า “ถูก” นำหน้ากริยา ความหมายจะส่อไปในทางไม่ดี
ผู้แปลควรระมัดระวัง
ควรแปลว่า: เขาได้รับเชิญให้ไปพูดในพิธีเปิด

2. Many of Sidney Sheldon’s works have been translated into many languages.
มีผู้แปลว่า: ผลงานของ ซิดนีย์ เชลดอน หลายเล่มถูกแปลเป็นหลายภาษา
ข้อสังเกต : ความหมายของประโยคนี้เป็นกลาง ๆ ไม่ควรใช้คำว่า “ถูก” นำหน้ากริยา
ควรแปลว่า: มีการแปลงานของ ซิดนีย์ เชลดอน ออกมาหลายภาษา

การแปลกริยาที่อยู่ในกาลต่าง ๆ
1. By the time her son returned home, she had already gone to bed.
มีผู้แปลว่า: ในที่สุดลูกชายของเธอก็กลับบ้าน เธอก็พร้อมจะเข้านอน
ข้อสังเกต: คำกริยาในภาษาอังกฤษเปลี่ยนรูปไปตามกาล แต่ในภาษาไทยคำกริยาไม่เปลี่ยนรูป
ไปตามกาล ผู้แปลต้องหาคำมาประกอบคำกริยาในการแปลให้ได้ความหมายตรง
ตามกาลในภาษาต้นฉบับ
ควรแปลว่า: กว่าลูกชายของเธอจะกลับถึงบ้าน เธอก็เข้านอนแล้ว

2. She always has a headache when she reads for a long time.
มีผู้แปลว่า: เธอปวดศีรษะขณะเมื่อเธอกำลังอ่านหนังสืออยู่เป็นเวลานาน
ข้อสังเกต: คำกริยาในประโยคนี้ใช้รูปปัจจุบัน เพื่อแสดงว่าเหตุการณ์ในประโยคเกิดขึ้นเสมอ
โดยมีกริยาวิเศษณ์ always เป็นตัวบอกความหมายให้ชัดเจนขึ้น
ควรแปลว่า: เธอมักจะปวดศีรษะเสมอเมื่อเธออ่านหนังสือเป็นเวลานาน ๆ

คำเขื่อมโยงความคิดระหว่างประโยค
1. She saw an accident while she was crossing the street.
มีผู้แปลว่า : เธอเห็นอุบัติเหตุเมื่อเธอกำลังข้ามถนน
ข้อสังเกต: while เป็นคำที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์หนึ่งกำลัง
ดำเนินอยู่ และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดซ้อนขึ้นมา
ควรแปลว่า: เธอแลเห็นอุบัติเหตุในขณะที่เธอกำลังข้ามถนน

2. They did not love each other, so they separated.
มีผู้แปลว่า: เขาไม่รักกัน เขาจึงแยกกัน
ข้อสังเกต: so เป็นคำเชื่อมโยงเหตุและผล
ควรแปลว่า: เขาไม่รักกันแล้ว ดังนั้น เขาจึงแยกทางกัน
คำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
1. You are the one I love.
มีผู้แปลว่า: เธอเป็นคนหนึ่งที่ฉันรัก
ข้อสังเกต: one เป็นสรรพนามที่ไม่เจาะจง ผู้แปลต้องอาศัยปริบทจึงจะแปลได้ถูกต้อง
ควรแปลว่า: เธอคือคนที่ฉันรัก

2. The Johnsons have two daughters, one a baby, the other a girl of twelve.
มีผู้แปลว่า: ครอบครัวจอห์นสันมีลูกสาว 2 คน คนหนึ่งเป็นเด็กเล็ก ๆ
คนอื่นเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบสอง
ข้อสังเกต: the other เป็นคำสรรพนามไม่เจาะจงจึงควรแปลคล้อยตาม
สรรพนานในปริบทนี้
ควรแปลว่า: ครอบครัวจอห์นสันมีลูกสาว 2 คน คนหนึ่งยังเล็กอยู่ อีกคนหนึ่ง
เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 12 ปี

ประธานที่ไร้ความหมาย
1. It was cold this year.
มีผู้แปลว่า: มันหนาวปีนี้
ข้อสังเกต: ประโยคภาษาอังกฤษจำเป็นต้องมีประธาน it ทำหน้าที่เป็นประธานแต่
ไม่มีความหมายเพราะไม่ได้แทนคำนามตัวใด
ควรแปลว่า: ปีนี้อากาศหนาว

2. Oh! It’s beautiful.
มีผู้แปลว่า: โอ! มันช่างสวย
ข้อสังเกต: เช่นเดียวกันกับตัวอย่างที่ 1 it ไม่มีความหมาย
ควรแปลว่า: แหม สวยจังเลย



1.2 ปัญหาทางด้านศัพท์และสำนวน ปัญหาทางด้านศัพท์และสำนวนเป็นปัญหาที่นักแปลมักจะพบอยู่เสมอ ส่วนผู้ที่เรียนแปลและแปลไม่ได้ก็มักจะคิดว่าการที่ตนเองแปลไม่ได้เพราะไม่รู้คำศัพท์ แต่ถึงจะรู้ความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรมก็อาจจะยังแปลผิดเพราะไม่รู้จักเลือกความหมายที่ถูกต้อง ปัญหาเหล่านี้ ได้แก่ คำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย คำศัพท์ที่รูปเขียนมักทำให้เข้าใจความหมายผิด คำกริยาคู่ (Phrasal verbs) สุภาษิต คำพังเพย และสำนวนต่าง ๆ
ตัวอย่าง
คำศัพท์ที่มีความหมายหลายนัย
1. I want to draw some money.
2. Nobody can draw conclusions.

draw ในประโยคที่ 1 แปลว่า ถอนเงิน
และประโยคนี้ควรแปลว่า: ฉันต้องการถอนเงิน
draw ในประโยคที่ 2 แปลว่า ลงความเห็น
และประโยคนี้ควรแปลว่า: ไม่มีใครลงความเห็น

คำศัพท์ที่รูปเขียนมักทำให้เข้าใจความหมายผิด
1. Many guerrillas were killed in the fight.
มีผู้แปลว่า: ฝูงลิงกอริลลาถูกฆ่าตาย
ข้อสังเกต: ผู้แปลสับสนในเรื่องตัวสะกดของคำสองคำนี้
คือ guerrilla (s) ซึ่งแปลว่า ผู้ก่อการร้าย
และ gorilla (s) ซึ่งแปลว่า ลิงกอริลลา
ควรแปลว่า: ผู้ก่อการร้ายจำนวนมากถูกฆ่าตายในการต่อสู้

2. The traffic problem in Bangkok has been ignored until very lately.
มีผู้แปลว่า: ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ถูกละเลยจนกระทั่งสายมาก
ข้อสังเกต: ผู้แปลเข้าใจว่า lately เป็นกริยาวิเศษณ์ของคุณศัพท์ late
ซึ่งแปลว่า ช้า สาย จึงแปลผิด
ควรแปลว่า: ปัญหาเรื่องการจราจรในกรุงเทพฯ ถูกละเลยมาตลอดจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้



การเตรียมความพร้อมก่อนไปเรียนต่อต่างประเทศ 2

การเตรียมความพร้อมก่อนไปเรียนต่อต่างประเทศ   2

สมัครเรียน
ขั้นตอนนี้  บริษัทแนะแนวต้องมีคุณธรรมในการให้คำแนะนำ
•  รับใบ Offer              เมื่อเราได้รับใบ  Offer  (โดยผ่านทางบริษัทแนะแนว)  ก็หมายถึงว่า  สถาบันที่เราสมัครไปรับเข้าเรียนแล้ว  แต่มีข้อแม้ต้องไปจ่ายเงินค่าเรียนก่อน  และวีซ่าต้องผ่านด้วย  ซึ่งระยะเวลาในการรอใบ  Offer  ก็จะประมาณ  1-2  วัน หรือทางสถาบันอาจจะใช้  1-2  สัปดาห์  ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันหรือมหาวิทยาลัยนั้นๆเป็นต้น
•  การตรวจร่างกายเพื่อขอ visa             สามารถไปตรวจเฉพาะได้ที่โรงพยาบาลทีทางสถานทูตกำหนดมาเท่านั้น  มีทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด  ในการตรวจก็จะเหมือนกับตรวจร่างกายทั่วๆไป   โดยจะตรวจปัสสวะ , ตรวจสายตา , x-ray ปอด     โดยไปกรอกแบบฟอร์มที่โรงพยาบาล   และแจ้งว่าเพื่อไปศึกษาต่อ  สำหรับผลการตรวจทางโรงพยาบาลจะส่งตรงไปที่สถานทูตเอง  สิ่งสำคัญก็คือ  ท่านจะต้องนำใบเสร็จกลับมาให้กับทางบริษัท  เพื่อนำมาใช้ในการยื่นขอวีซ่ากับทางสถานทูต
•  การโอนเงิน              ขั้นตอนนี้จะทำการโอนเงินก็ต่อเมื่อได้รับใบ  Offer    จากทางสถาบันที่ไปสมัครเรียน  วีธีโอนก็ไปโอนที่ธนาคารต่างๆที่สะดวกในการไปโอน   โดยที่โอนเงินค่าเทอมตรงไปยังสถาบันศึกษาโดยตรงเลย   เงินที่โอนไปจะประกอบไปด้วย
  1.  ค่าสมัครเรียน    (ในกรณีที่ทางบางสถาบันเก็บจริง)
  2.  ค่าเทอม
  3.  ค่าโอน
  4.  ค่าประกันสุขภาพ  (ตามจำนวนทางสถาบันเป็นผู้แจ้งมา)  และเก็บใบเสร็จในการโอนเงินไว้

•  รับใบ CEO                ใบ CEO  นี้จะเป็นใบรับรองว่าเราจ่ายเงินค่าเทอมไปแล้ว     เพื่อใช้เป็นเอกสารแนบในการขอวีซ่า   หลังจากนี้ทางบริษัทแนะแนวจะแจ้งมายังน้องๆเองว่าให้เตรียมยื่นวีซ่าได้
•  ทำVisa 
  ขั้นตอนนี้จะต้องใช้เอกสารและข้อมูลต่างๆที่ให้เตรียมไว้  4  ด้านดังกล่าวไว้เบื้องต้นมาประกอบในการยื่นขอวีซ่านักเรียน
          




  ดังนั้นจะมีบทสรุปในการทำวีซ่าได้  2  คำตอบ  คือ1.  ขอแล้วผ่าน
2.  ขอแล้วถูกปฏิเสธ  หรือ  Reject  visa
          เพราะสาเหตุอะไร  แล้วบริษัทจะดำเนินการต่อไปอย่างไร  และมีวิธีใดที่จะทำให้วีซ่าผ่านโดยไม่ต้องยื่นรอบสอง  รอบสาม  จากประสบการณ์ในการดำเนินการขอวีซ่ามาจึงทำให้ทราบว่า  ถ้าเอกสารไม่ครบหรือฐานะทางการเงินไม่ดีพอก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกปฏิเสธวีซ่าได้   จะทำให้น้องๆเป็นผู้เสียผลประโยชน์และเสียเงิน   เสียเวลา  ดังนั้นขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญมากอีกขั้นตอนหนึ่ง     ทางบริษัทยินดีให้คำแนะนำและปรึกษาฟรี

          การเตรียมตัวก่อนเดินทาง              เมื่อวีซ่าผ่าน  น้องๆควรจะเตรียมอะไรไปบ้างจากเมืองไทย   เพราะต่างประเทศของราคาแพง  จากบ้านเราสังเกตได้จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินก็ต่างกัน  ฉะนั้นค่าครองชีพและข้าวของก็ราคาสูงกว่าเมืองไทยตามไปด้วย
          สิ่งที่จำเป็น1.  ตั๋วเครื่องบิน  สามารถซื้อได้ในราคาถูกสำหรับ  Student  Visa  พร้อมได้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่มจากน้ำหนักของตั๋วปกติอีก  10  kg
2.  Home Stay  ควรจะแจ้งกับทางบริษัทแนะแนวในการจัดหาให้
3.  รถรับ-ส่งจากสนามบิน-ที่พัก  ควรจะแจ้งทางบริษัทแนะแนวเพื่อจัดหาให้             (หากต้องการ)
4.  เสื้อผ้า ,  เครื่องแต่งกาย 
5.  Talking  Dictionary  และ  Dictionary  ธรรมดา  เพราะทางสถาบันไม่ให้ใช้  Talking  Dictionary 
6.  Adapter  ปลั๊กไฟ  เพื่อไปใช้กับครื่องไฟฟ้าที่เรานำไปใช้ยังประเทศนั้น ๆ
7.  กรณีมีโรคประจำตัวที่ต้องทานยาประจำ
8.  ปากกา ดินสอ ยางลบ  เพราะต่างประเทศราคาแพง

          การเดินทาง              ควรไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนสัก  2  ชั่วโมง  ถ้าใครไม่เคยเดินทางไกลโดยเครื่องบินมาก่อน  ขอแนะนำว่าตอน  Check In  บอกพนักงานว่าอยากได้ที่ติดทางเดิน  จะได้สะดวก  เพราะใช้เวลานานหลายชั่วโมง  และเตรียมเสื้อกันหนาวด้วยนะบนเครื่องอากาศเย็น



วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเตรียมความพร้อมก่อนไปเรียนต่อต่างประเทศ

  การเตรียมความพร้อมก่อนไปเรียนต่อต่างประเทศ  
ต้องเตรียมส่วนสำคัญ  4  ด้าน  คือ
         
             
1.  ประวัติการศึกษา
  ผลการเรียนหรือ transcript ที่เราเรียนจบมาล่าสุด เช่น ปริญญาตรี  ประวัติการเรียนภาษาอังกฤษจากสถาบันต่างๆ  ประวัติการฝึกอบรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรที่เราเลือกหรือสนใจที่จะไปเรียนต่อ
           
            
2.  ประวัติการทำงาน  
(ถ้ายังไม่เคยทำก็ไม่ต้อง)    ทำมากี่ที่ก็ไปเก็บใบรับรองการทำงานมาให้หมดเลยครับ  จะเป็นผลดีตอนไปขอ VISA  มิฉะนั้นจะมีข้อซักถามจากทางเจ้าหน้าที่ของสถานฑูตว่าเวลาแต่ละช่วงต้องสัมพันธ์และต่อเนื่องกันเพื่อเป็นผลดีกับการพิจารณาการให้วีซ่า
         
            
3.  ประวัติการเงิน
  ทางสถานทูตจะดูบัญชีเงินฝากเราย้อนหลัง 6 เดือน  เงินในบัญชีเงินฝากประมาณ  500,000  บาท  เน้นนะ  6  เดือน  ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆก่อนจะยื่นวีซ่า  1  เดือนก็เอาเงินใส่เข้ามา  300,000  บาท  อย่างนี้ก็ไม่ได้  บัญชีเงินฝากไม่จำเป็นต้องเป็นของคนที่จะไปเรียน  แต่เป็นของพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติก็ได้   แต่ญาติแท้ๆที่นามสกุลเดียวกัน  หรือมีเอกสารอื่นๆบ่งชี้ว่านามสกุลเดียวกัน  (ในกรณีที่บุคคลนั้นแต่งงานหรือเปลี่ยนนามสกุล) หรือสามี ภรรยาที่จดทะเบียนก็ได้  นอกจากบัญชีเงินฝากแล้ว  สลากออมสิน , หุ้นสหกรณ์  ก็ใช้ได้  คนที่ให้เอกสารด้านการเงินเรามาอ้างอิง  คือ  บุคคลที่มีสถานะทางการเงินสามารถ support เราในขณะที่เราเรียนอยู่ต่างประเทศ   (เราเรียกว่า Sponsor)
      
           
4.  Passport  ส่วนนี้ง่าย  มีที่ให้ทำหลายที่  แจ้งวัฒนะ , เซ็นทรัล บางนา , เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า , เชียงใหม่ , ขอนแก่น , สงขลา    ค่าใช้จ่ายอยู่ที่  1,073  บาท 




   การเลือกสถานที่เรียน  จะมีทางเลือกหลักๆ  2  ทาง คือ              1.  ค้นหาเองจากwebsite  หรือจากเพื่อนที่เคยไปเรียนหรือกำลังเรียนอยู่แต่ก็อาจจะให้ข้อมูลอะไรได้ไม่ละเอียดนัก
              2.  จากบริษัทแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศ  จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด  เพราะบริษัทแนะแนวหรือให้คำปรึกษาต่างๆรวมถึงการดำเนินการยื่นขอวีซ่าให้ท่านฟรีทุกขั้นตอน  เพราะบริษัทจะมีข้อมูลแนวทางเลือกในการตัดสินใจตลอดจนมีหลายสถาบันให้เราเลือก
             
          วิธีการเลือกบริษัทแนะแนวที่ดี-  ต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงาน  หรือเรียนจบจากประเทศนั้นๆเพื่อที่จะสามารถให้คำแนะนำกับท่านได้ดี
-  ทำวีซ่า ให้ฟรี
-  ไม่คิดค่าบริการทุกขั้นตอน
-  จัดหา Homestay   (บ้านพัก โดยอยู่กับคนออสเตรเลีย) ให้ได้
-  จัดหารถรับ-ส่ง  จากสถาบัน-บ้านพัก



pronouns คำสรรพนาม

คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนคำนามครับ ขอยกตัวอย่างจากคำนามที่ได้เรียนไปแล้วนะครับ
คำเหล่านี้คือคำนาม
คน :  a man, a boy, a girl, a sister, a student, a doctor…
สัตว์และพืช : a dog, a bird, a cat, a lion, a fish, a tiger, a tree, a flower…
สิ่งของ : a pen, a car, a TV, a table, a house…
สถานที่: a school, a market, a post office…
ถ้าเราไม่ใช้คำสรรพนาม ประโยคของเราก็จะป็นเป็นแบบนี้
A man is very tall. A man lives near my house. A man goes to work bus.
แปลได้ความว่า ผู้ชายคนหนึ่งตัวสูงมาก  ผู้ชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ใกล้บ้านฉัน ผู้ชายคนหนึ่งไปทำงานโดยรถบัส
ถ้านักเรียนได้อ่านประโยคดังกว่าวก็จะเห็นได้ว่า มันซ้ำไปซ้ำมาด้วยคำนามเดิม ๆ แต่ถ้ามีการใช้คำสรรพนามจะทำให้ประโยคดูดีขึ้น
A man is very tall. He lives near my house. He goes to work bus.
ผู้ชายคนหนึ่งตัวสูงมาก  เขาอาศัยอยู่ใกล้บ้านฉัน เขาไปทำงานโดยรถบัส
เป็นอย่างไรบ้าง ดูดีขึ้นเยอะเลย

Pronouns คำสรรพนามที่ต้องจดจำ

Pronouns สรรพนามที่สร้างความสับสนให้กับนักเรียนมากที่สุด
สรรพนามที่ว่า หมายถึง บุรุษสรรพนามครับ (Personal Pronoun) สาเหตุที่นักเรียนสับสนเพราะว่า สรรพนามที่ว่านี้ ภาษาอังกฤษจะแยกชัดเจนว่าสรรพนามตัวไหนใช้เป็นประธาน ตัวไหนใช้เป็นกรรม
ในขณะที่ภาษาไทยและอีกหลายภาษาในประเทศที่อยู่ภูมิภาคเอเชีย สรรพนามที่เป็นประธานกับกรรมใช้ตัวเดียวกัน เช่น
ผมรักหล่อน และหล่อนรักผม
เห็นไหมครับว่า คำว่า หล่อน กับ ผม ไม่ว่าจะเป็นประธานของประโยคหรือกรรมของประโยคก็เป็นตัวเดียวกันเลย
ทีนี้มาดูตัวอย่างของภาษาอังกฤษบ้าง
I love her and she loves me.
ผม รัก หล่อน และ หล่อน รัก ผม
เห็นไหมว่าคำว่าผมมีทั้ง I และ me และคำว่า หล่อน ก็มีทั้ง her และ she ตรงนี้แหละที่สร้างความปวดหัวให้กับผู้เรียน เพราะต้องจดจำให้ดีว่า
ตัวไหนเป็นประธานและตัวไหนเป็นกรรม
แล้วจะสังเกตตรงไหนละว่าตัวไหนเป็นประธาน ตัวไหนเป็นกรรม ก็สังเกตที่คำกริยานะครับ ตัวไหนอยู่ก่อนกริยาตัวนั้นเป็นประธาน ตัวไหนอยู่หลังกริยาตัวนั้นเป็นกรรมครับ เช่น
I love her and she loves me.
คำกริยาก็คือ love
คำที่อยู่หน้า love คือ  I และ she สองตัวนี้เป็นประธาน
คำที่อยู่หลัง love คือ  me และ her สองตัวนี้เป็นกรรม






เทคนิค วิธีจำคำศัพท์ง่ายๆ :)


อุปสรรคสำคัญอย่างหนึ่งในการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาแม่ ก็คือ การนึกคำศัพท์ที่เหมาะสมไม่ออก หรือแปลความหมายของคำศัพท์ที่พบไม่ได้ เพราะ ถึงจะรู้หลักแกรมม่าแน่นปึ๊ก แต่คำศัพท์ไม่ได้ ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันดี ถึงจะจำคำศัพท์ได้แม่นแบบ ติดแน่นฝังลึกอยู่ในสมองของเรา เคล็ดลับมีอยู่ 6 ประการ ก็คือ

1. ขยันอ่านภาษาอังกฤษ
อ่านมันให้หมด อะไรที่เป็นภาษาอังกฤษ อ่านได้หมด ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความ เว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร การ์ตูน ใบปลิว ป้ายโฆษณา  ไปจนกระทั่งรอยจารึกข้างกำแพงห้องน้ำ (ถ้าคนมือบอนเขียนเป็นภาษาอังกฤษนะ)  เรียกได้ว่าขยันอ่านอะไรที่มันเป็นภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ

อาจเกิดคำถามว่า จะอ่านไปให้มันได้อะไร ถ้ามันไม่รู้ความหมาย คำตอบคือ ได้ความคุ้นเคย ยิ่งอ่านมากก็จะยิ่งเจอคำศัพท์มาก เจอคำศัพท์ที่เราเคยเจอมา แล้วบ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดคุ้นเคยกับศัพท์คำนั้น (ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ความหมายนั่นหล่ะ) จนเมื่อวันหนึ่งเรารู้ความหมายของ ศัพท์คำนั้น ไม่ว่าจะด้วยการเดาจากความหมายโดยรวมของประโยค หรือจากการเปิด พจนานุกรม เราก็จะจดจำความหมายของศัพท์คำนั้นได้อย่างแม่นยำ ทีนี้ถ้าเรา อ่านเยอะ  เราก็จะคุ้นเคยกับคำศัพท์เยอะแยะไปหมด
หรือแม้แต่คำศัพท์ที่เรารู้ความหมายอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยได้พบ ถ้าเราอ่านภาษาอังกฤษเยอะๆ เราก็จะมีโอกาสพบศัพท์คำนี้บ่อยขึ้น ทำให้เราไม่ ลืมความหมายของมันไปนั่นเอง

2. เล่นเกมประเภทฝึกคำศัพท์
มีอยู่หลากหลายเกม เช่น Scrabble, Word Chain, Hangman, Crosswords เป็นต้น เกมพวกนี้จะช่วยกระตุ้นให้เราจดจำและพัฒนาการใช้คำศัพท์ได้เป็นอย่างดี แถมยังให้ความสนุกสนานอีกด้วย เวลาเล่นก็ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดกับกฎแบบเอาเป็นเอาตาย เล่นเพื่อความสนุกสนาน มันจะได้ไม่เบื่อเร็ว
อย่างเช่นเกม Scrabble ก็แอบเปิดพจนานุกรมไปด้วยก็ได้ จะได้เจอคำศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ใช้แต่คำศัพท์ไม้ตายอย่าง "ant", "red" หรือ "hat"
ปัจจุบันเกมพวกนี้มีให้เล่นฟรีตามเว็บไซต์ต่างๆ มากมายจนเล่นกันไม่หมด ลอง เข้าไปในเว็บไซต์สืบค้นอย่าง Google แล้วค้นหาด้วยชื่อเกมที่ต้องการ
ก็จะได้ผลการค้นหาออกมายาวเหยียด ยกตัวอย่างเช่น

http://thepixiepit.co.uk/scrabble (เกม Scrabble)
http://www.isc.ro (เกม Scrabble)
http://www.wordchains.com (เกม Word Chain)
http://www.buzzardgames.com/word_chain (เกม Word Chain)
http://www.hangman.no (เกม Hangman)
https://www.myfirstbrain.com/main_view.aspx?ID=54989 (เกม Hangman)
http://www.boatloadpuzzles.com/playcrossword (เกม Crosswords)
http://thinks.com/daily_crossword.htm (เกม Crosswords)

4. จดบันทึกคำศัพท์ใหม่ไว้ทบทวน
เมื่อพบคำศัพท์ใหม่ควรจดคำศัพท์และความหมายใส่ในกระดาษไว้ทบทวนกันลืมในภาย หลัง ได้หลายๆ แผ่นเข้าก็เย็บรวมเป็นเล่ม กลายเป็น "สมุดจดคำศัพท์" ที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของเราเอง ข้อดีที่เห็นได้ชัดของการทำสมุดจดคำศัพท์ ส่วนตัวก็คือ ช่วยให้เราจำคำศัพท์ได้แม่นขึ้น เพราะขณะที่เราท่องคำศัพท์ตาม ปกติ จะใช้ทักษะเพียงด้านเดียวคือ การอ่าน แต่เมื่อเราจดคำศัพท์ลงในกระดาษ เราจะต้องใช้ทั้งทักษะการอ่านและ การเขียน ทำให้สมาธิของเราจดจ่ออยู่กับคำศัพท์นั้นมากขึ้น จึงจำได้แม่นขึ้น ด้วย อีกประการหนึ่งก็คือ การหยิบสมุดจดคำศัพท์ขึ้นมาทบทวนในยามว่าง เป็นการฆ่า เวลาอย่างคนฉลาด
ดีกว่าฆ่าเวลาด้วยการส่ง BB ไปเม้าท์กับเพื่อนเรื่องไร้สาระเป็นไหนๆ

5. ใช้เพื่อนเป็นตัวช่วย
บางครั้งนั่งท่องศัพท์คนเดียวนานๆ เข้ามันก็เบื่อ ลองหาเพื่อนสักหนึ่งคนหรือหนึ่งกลุ่มที่มีอุดมการณ์เดียวกัน กับเรา คือ อยากฝึกภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้น แล้วเอาสมุดจดคำศัพท์ของตัวเองขึ้นมา ผลัดกัน ถาม-ตอบความหมายของคำศัพท์ นอกจากจะช่วยให้จำคำศัพท์ได้อย่างสนุกสนาน แล้ว ในกรณีที่เจอคำศัพท์ซึ่งเราจดความหมายไว้ไม่ตรงกับของเพื่อน ก็ไปเปิด ดูความหมายที่แท้จริงในพจนานุกรม ถือเป็นการเช็คความถูกต้องไปด้วยในตัว

เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เพียง 5 ข้อนี้ ก็พอจะช่วยให้เราท่องจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างแม่นยำ ถูกต้อง สนุกสนาน และจำฝังใจได้มากกว่าการท่องจำแบบเดิมๆ เยอะเลยทีเดียว แล้วอย่าลืมลองนำไปใช้กันดูด้วยนะ





วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การลงรองพื้น และ การแต่งน่าสำหรับสาวผิวแทน



การลงรองพื้น และ การแต่งน่าสำหรับสาวผิวแทน



เคยสงสัยกันหรือเปล่าค่ะ   ว่าเทคนิคการแต่งหน้าให้เรียบเนียนนั้น  ทำกันอย่างไรบ้าง....?   และทำไมพวกดาราหรือนางแบบที่เราเห็นกัน  ถึงได้หน้าเนี๊ยน...เนียน  แบบเป๊ะเวอร์  จนไม่มีที่ติเลย  ตอนแรกซ่าก็คิดว่าคงจะใช้โปรแกรมตกแต่งภาพ   รีทัชแน่นอน  แต่เท่าที่ทราบมาถึงจะรีทัชก็แค่นิดเดียว   เพราะเขามีเคล็ดลับให้หน้าสวยเนียนโดยไม่ต้องใช้โปรแกรมโฟโต้ช็อปกันค่ะ..





เคล็ดลับแรก....
การที่เราจะปกปิดให้ผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอกัน   จะต้องเลือก   รองพื้นแบบเนื้อครีมปกปิด (Full Coverage)  ซึ่งจะมีความเข้มข้นและความหนาแน่นของเนื้อครีมค่อนข้างมาก   ซึ่งจะเหมาะกับสาวๆ  ที่มีปัญหาผิวต่างๆ  หรือสำหรับใช้ในวันสำคัญต่างๆค่ะ  เช่น  วันแต่งงาน  วันรับปริญญา  หรือออกงานตอนกลางคืน   โดยเฉดสีของครีมรองพื้นให้ใกล้เคียงกับผิวของเรามากที่สุดคะ   โดยจะต้องเลือกให้ใกล้เคียงกับสีของลำคอให้มากที่สุดนะคะ    เพื่อไม่ให้หน้าดูลอยค่ะ


เคล็ดลับการลงรองพื้น...
เทคนิคในการลงรองพื้นนั้น   สามารถใช้ฟองน้ำที่มีลักษณะเป็นเนื้อแน่น   เพื่อจะได้ผลักรองพื้นให้ติดลงบนผิวหน้า   หรือไม่สามารถใช้แปรงรองพื้นที่ค่อนข้างชื้น   เพื่อปาดรองพื้นและเกลี่ยรองพื้นให้ทั่วผิวหน้า    แต่สาวๆ  คนไหนที่ไม่ถนัดอุปกรณ์เหล่านี้   ก็สามารถใช้นิ้วมือนี่แหละได้เหมือนกันค่ะ   เพราะนิ้วมือสามารควบคุมปริมาณรองพื้นได้ดีที่สุดน่ะ(คือการประหยัดนั่นเองค่ะ)  และยังเข้าถึงพื้นที่ซอกเล็กๆ  ได้ดีกว่าแปรงรองพื้นอีกนะค่ะ...


 ใช้แปรงรองพื้นที่ค่อนข้างชื้น ป้ายรองพื้นแล้วปาดลงบนผิว เกลี่ยให้ทั่ว สำหรับแปรงรองพื้นแนะนำให้ใช้แปรงรองพื้นที่เป็นขนสังเคราะห์เรียบแบน (foundation brush) เนื่องจากสามารถเกลี่ยรองพื้นได้ในปริมาณที่มากและหนา สำหรับการปกปิดมากเป็นพิเศษ หรือสาวคนไหนไม่ถนัดใช้แปรงรองพื้นก็สามารถใช้ฟองน้ำแทนได้ค่ะ เลือกฟองน้ำที่มีลักษณะเป็นเนื้อแน่น กดฟองน้ำเพื่อผลักรองพื้นให้ติดลงบนผิว 




ผิวดีเป็นทุนเดิม สำคัญกว่าการใช้เมคอัพช่วย 
การ ใช้เครื่องสำอางเป็นเหมือนการแก้ปัญหาผิวไม่ดีที่ปลายเหตุ การมีผิวที่ดีเปรียบเสมือนรองพื้นธรรมชาติโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เมคอัพเป็น ตัวช่วย อย่าลืมใช้ครีมบำรุงเพื่อให้ผิวหน้าเนียนสดใส หรือใช้ผลิตภัณฑ์มาส์กหน้า ทำให้การแต่งหน้าทำได้ง่ายขึ้น

สำหรับสาวที่มีผิวสองสีไม่ใช่ว่าจะไม่ดีนะค่ะ เพราะว่าผิวของสาวผิวสองสีจะเหี่ยวแก่ช้ากว่าคนผิวขาว และมีโอกาสเกิดมะเร็งของผิวหนังต่ำกว่า เพราะมีเม็ดสีที่จะปกป้องภยันตรายจากแสงแดดสูงกว่าค่ะ แต่สำหรับการเลือกเครื่องสำอางสำหรับสาวผิวสองสี มีวิธีการเลือกอย่างไร วันนี้เรามีมาเฉลยค่ะ
  • ครีมรองพื้น
ควรจะเลือกให้ใกล้เคียงสีผิวมากที่สุด โดยเวลาเลือกซื้อให้ทดลองบนผิวหนังด้านบนของมือเราก่อนค่ะ
  • แป้งฝุ่น
ควรเลือกตามโทนสีผิวของเราค่ะ แต่ส่วนมากจะเลือกเบอร์กลาง ๆ อย่าง เบอร์ 2 ค่ะ



  • อายแชโดว์
ควรเลือกใช้สีน้ำตาลหรือโทนสีเอิร์ธโทนจะดีที่สุดนะค่ะ หรือเป็นสีอื่น ๆ ก็ได้ แต่จะต้องเป็นสีที่ไม่จัดจ้านค่ะ และเราจะต้องทาสีที่ถูกกาลเทศะและสถานที่ด้วยนะค่ะ(ข้อแนะนำ เมื่อคุณทาอายแชโดว์แล้ว คุณจะต้องกรีดอายไลเนอร์ด้วยนะค่ะ เพื่อจะได้เน้นที่ดวงตาค่ะ)

วิธีเลือกเครื่องสำอางสำหรับสาวผิวสองสี
  • บลัชออน
ควรเลือกสี ที่ออกส้มปนน้ำตาล หรือสีชมพูอมน้ำตาลค่ะ
  • มาสคาร่า
จริง ๆ แล้วใช้ได้ทุกสีนะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสีดำ สีน้ำตาล หรือสีฟ้าค่ะ แต่ส่วนมากจะเป็นสีดำซะมากกว่าค่ะ เพราะว่าใช้ได้ทุกโอกาส และควรใช้แบบกันน้ำด้วยนะค่ะ ถ้าไม่ใช้แบบกันน้ำเดี๋ยวจะกลายเป็นหมีแพนด้านะค่ะ
  • ลิปสติก
ควรทาลิปสติกที่ออกสีน้ำตาลค่ะ หรืออาจจะทาสีชมพูอ่อน ๆ แล้วทาลิปกลอสทับลงไปด้วยก็ได้ค่ะ
เพียงเท่านี้ สาวผิวสองสีก็จะดูสวยงามขึ้นแล้วล่ะค่ะ